สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
ด้วยความเคารพครับ ถ้าเทียบเฉพาะกรุงเทพฯกับกัวลาลัมเปอร์ กรุงเทพฯมีพื้นที่ประมาณ1400ตารางกิโลเมตร ส่วนKLมีประมาณ243ตารางกิโลเมตร ทำให้รถไฟฟ้ารางเบาสายสั้นๆและรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกที่พึ่งเปิดไปเมื่อต้นปีนี้ครอบคลุมพื้นที่เมืองหลวงได้มากกว่า(เพราะเล็กกว่า กทม.เกือบ6เท่า) แต่ในอนาคตอีก5-6ปีข้างหน้า เมื่อรถไฟฟ้า11สายในกทม.สร้างเสร็จ ก็จะมีความยาวรวมกันประมาณ460กม. ติดท็อป5ของโลกเลย(ความยาวรวมยังเป็นรอง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ โซล โตเกียว แต่ยาวรวมมากกว่า ลอนดอน(240กม.) ปารีส ฯลฯ ตอนนี้ใครไปปารีสคงได้เห็นว่า รถไฟใต้ดินเขาโทรมมาก ผนังทางเดินสีลอกเป็นแผ่นๆราขึ้น และกลิ่นฉี่เหม็นจนหน้าหงาย / เท่าที่ทราบ ยกเว้น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ๆจะสร้างรถไฟใต้ดินครบตามแผนแล้ว ) รวมทั้งกฟน.นำสายไฟถนนสายหลักประมาณ160กิโลเมตรลงใต้ดินจนครบในปี64 (ปัจจุบันนำลงไปแล้ว4เส้นทาง ถ้าจำไม่ผิด) และมีการคาดการณ์ว่า กทม.จะเป็นมหานครที่มีประชากรรวมเขตปริมณฑลด้วย มากกว่า15-20ล้านคน (เทียบกับKL 2-3ล้านคน) น่าจะพอคาดเดาได้ว่า กรุงเทพฯแซงKLได้แบบทิ้งไม่เห็นฝุ่นนะครับ
ส่วนโครงการEECนั้น ถ้าโครงการนี้สำเร็จ มีการคาดการว่าจะทำให้ในอีก10ปีข้างหน้า พื้นที่สามจังหวัดอีอีซี มีประชากรรวมกันมากกว่า15ล้าน คน และเป็นเขตที่ประชากรมีรายได้สูงมาก จะทำให้ในแถบกทม.+EECจะมีประชากรรวมกันมากกว่า35ล้านคน ซึ่งเป็นการวางแผนให้เกิดแกนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขึ้น คล้ายๆกับไอเดียการสร้าง แกนเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรุงโซล-ปูซานของเกาหลีใต้ เพื่อให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคุ้มค่า และรายได้ประชากรโตแบบก้าวกระโดด แต่แน่นอนว่าวิธีนี้ก็มีข้อเสียอยู่มาก คงพอเดากันได้ว่าเรื่องอะไรบ้าง
ปัจจุบันรัฐบาลผลักดันให้งบวิจัยฯของประเทศ เพ่ิ่มจากไม่ถึง0.25%ของGDPในปี2557มาเป็น 1.0%ในปี2561นี้ เป็นเงินราวๆ1.6แสนล้านบาท เป็นงบจากรัฐ30% งบเอกชน70% และคาดว่าจะไปถึง1.5%ของจีดีพีในปี2564 ซึ่งตามทฤษฏีแล้ว ประเทศที่มีงบวิจัยฯเกิน1.5%ของจีดีพี จะเริ่มเป็นประเทศผู้ผลิตนวัตกรรมใหม่ เทียบกับมาเลเซีย(อ่านเจอที่เขาอ้าง)1.3%ของจีดีพี สิงคโปร์1.5% แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับ อิสราเอล เกาหลีใต้ที่มีงบวิจัยเทียบกับจีดีพีสูงถึง4%มากเป็นอันดับ1และ2ของโลก ส่วนประเทศในยุโรปราวๆ2%กว่าๆจีน2.2% ญี่ปุ่นและสหรัฐประมาณ3%
มาเลเซียมีศูนย์วิจัยนวัตรกรรมMPECที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี2539 แต่เขาใช้นักวิจัยและงบฯในประเทศเป็นหลัก ส่วนสิงคโปร์ตั้งศุนย์วิจัยวันนอร์ทเมื่อปี2544โดยเป็นศูนย์ที่ให้บริษัทและต่างชาติเข้ามาทำวิจัยร่วม ซึ่งไทยเองปัจจุบันพึ่งเริ่มตั้ง ฟู้ดอินโนโพลิส(รังสิต)และในอีอีซีจะมี ARIPOLIS(เมืองวิจัยอิเลคโทรนิคส์และหุ่นยนต์ชั้นสูง) ดิจิตอลพาร์ค(ที่ศรีราชา) โดยมีนดยบายคล้ายๆสิงคโปร์คือ ให้บ.ต่างชาติเข้ามาทำวิจัยร่วมโดยยกเว้นภาษี และสามารถนำนักวิจัยชั้นสูง(พร้อมครอบครัว)เข้ามาทำงานได้ด้วยวีซ่า4ปี(ภาษีไม่เกิน17%ของเงินเดือน/เท่าสิงคโปร์)
ในนโยบายของBOIกำหนดให้ บริษัทเทคโนโลยี่ชั้นสุงในกลุ่ม10เอสเคิร์ฟที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จะต้องมีพันธมิตรเป็นมาหวิทยาลัยในไทย เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี่ เพื่อแลกกับการยกเว้นภาษี8-15ปี ถ้านโยบายนี้ได้ผล ไทยก็จะเร่ิมก้าวกระโดดทางเทคดนโลยี่ในอีกสิบปีข้างหน้านี้ รวมทั้งการอนุญาติให้มหาวิทยาลัยชั้นนำต่างชาติมาตั้งวิทยาเขตในเขตอีอีซีได้ ซึ่งแน่นอนแล้วว่า ม.คาเนกีเมล่อนTop3ด้านวิศวะไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ของสหรัฐจะมา(ด้วยการเชิญของสจล.เทคโนพระจอมเกล้าฯ) และม.แห่งชาติได้หวัน(เจ้าของอมตะฯที่เป็นศิษย์เก่าน่าจะเป็นผู้เชิญมา) ดังนั้นการปฏิรูปด้านอุดมศึกษาของไทยแบบก้าวกระโดดก็น่าจะเห็นกันในอีก5-10ปีนี้
และที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ จากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าของ บ.EA(พลังงานบริสุทธิ์) ที่เตรียมจะขายรถไฟฟ้ายี่ห้อไทยแท้MINEในปลายปี62และได้ดชว์รถไฟฟ้าต้นแบบในงานมอเตอร์โชว์เมื่อสองเดือนที่แล้วไป โดยรถรุ่นซิตี้คาร์ราคาไม่เกินหกแสน และรถsuvราคาไม่เกิน1ล้านนั้น บ.อีเอมีโครงการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมฯที่ใหญ่ที่สุดในโลก 50กิกะวัตต์ ใหญ่กว่าของเทสล่าที่เนวาด้า1.4เท่า(35กิกะวัตต์) โครงการเฟส1เสร็จปลายปี61และเฟสสองเสร็จ63 โดยเขาบอกว่าต้นทุนโรงงานถูกกว่าของเทสล่าสองเท่า เนื่องจากเทสล่าต้องซื้อสิทธิบัตรและจ้างพานาโซนิคสร้างโรงงานให้ แต่ของEAเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเอง และเป็นเทคโนโลยี่แบตฯที่เมื่อรถชนกันจะไม่ติดไฟ(ไม่เหมือนเทสล่าที่มีข่าวคนขับโดนไฟครอกเมื่อต้นปีนี้) รวมทั้งปตท.ก็กำลังสร้างโรงงานแบตฯลิเธียมเช่นกันแต่เล็กกว่าของEAมาก นอกจากนี้ยังได้ยินข่าวลือมาว่า บ.บางจากที่ไปซื้อหุ้นเหมืองลิเธียมในชิลีและสหรัฐไว้แล้ว ก็กำลังมีแผนจะสร้างโรงงานแบตฯลิเธียมขนาดใหญ่มากๆอีกด้วย(ต้องใช้ที่ดินถึง800ไร่ในการสร้างโรงงาน) ถ้าข่าวเป็นจริงก็จะดีมาก และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รมว.อุตสาหกรรม ดร.อุตตมะได้ออกมาพูดว่า ในอีกห้าปีข้างหน้า ไทยอาจเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมแบตฯลิเธียมไออ้อน (และตามมาด้วยรถยนต์ไฟฟ้า) ซึ่งแว่วๆว่ารัฐบาลนี้มีแผนลับซับซ้อนเพื่อผลักดันเรื่องการค้นหาเทคโนโลยี่แบตฯลิเธี่ยมไออ้อนไปทั่วโลก(แล้วขอซื้อหุ้น,ร่วมมือเป็นหุ้นส่วน,แล้วยึดสิทธิบัตร)มานานหลายปีแล้ว ขอบอกว่าไทยเราไม่ะรรมดาหรอกครับ และคงจะได้เห็นการความหาเทคโนโลยี่เพื่อสร้างประเทศ ทั้งแบบทางตรงและทางลับ ทางซับซ้อนเจ้าเล่ห์ ของประเทศไทยเราอีกเยอะแน่ๆในไม่กี่ปีข้างหน้านี้แน่นอน(ถ้าทำได้สำเร็จ คงได้เห็นการก้าวกระโดดในอีกหลายๆอุตสาหกรรมเลย เอาใจช่วยกันด้วนนะครับ)
ซึ่งถ้าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงโดยไม่สะดุดหกล้มเพราะการเมืองหลังเลือกตั้ง ไทยไม่เพียงแต่แซงมาเลเซียเท่านั้น แต่จะสามารถแข่งขันได้ในระดับโลกเลยทีเดียวครับ
ส่วนโครงการEECนั้น ถ้าโครงการนี้สำเร็จ มีการคาดการว่าจะทำให้ในอีก10ปีข้างหน้า พื้นที่สามจังหวัดอีอีซี มีประชากรรวมกันมากกว่า15ล้าน คน และเป็นเขตที่ประชากรมีรายได้สูงมาก จะทำให้ในแถบกทม.+EECจะมีประชากรรวมกันมากกว่า35ล้านคน ซึ่งเป็นการวางแผนให้เกิดแกนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขึ้น คล้ายๆกับไอเดียการสร้าง แกนเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรุงโซล-ปูซานของเกาหลีใต้ เพื่อให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคุ้มค่า และรายได้ประชากรโตแบบก้าวกระโดด แต่แน่นอนว่าวิธีนี้ก็มีข้อเสียอยู่มาก คงพอเดากันได้ว่าเรื่องอะไรบ้าง
ปัจจุบันรัฐบาลผลักดันให้งบวิจัยฯของประเทศ เพ่ิ่มจากไม่ถึง0.25%ของGDPในปี2557มาเป็น 1.0%ในปี2561นี้ เป็นเงินราวๆ1.6แสนล้านบาท เป็นงบจากรัฐ30% งบเอกชน70% และคาดว่าจะไปถึง1.5%ของจีดีพีในปี2564 ซึ่งตามทฤษฏีแล้ว ประเทศที่มีงบวิจัยฯเกิน1.5%ของจีดีพี จะเริ่มเป็นประเทศผู้ผลิตนวัตกรรมใหม่ เทียบกับมาเลเซีย(อ่านเจอที่เขาอ้าง)1.3%ของจีดีพี สิงคโปร์1.5% แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับ อิสราเอล เกาหลีใต้ที่มีงบวิจัยเทียบกับจีดีพีสูงถึง4%มากเป็นอันดับ1และ2ของโลก ส่วนประเทศในยุโรปราวๆ2%กว่าๆจีน2.2% ญี่ปุ่นและสหรัฐประมาณ3%
มาเลเซียมีศูนย์วิจัยนวัตรกรรมMPECที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี2539 แต่เขาใช้นักวิจัยและงบฯในประเทศเป็นหลัก ส่วนสิงคโปร์ตั้งศุนย์วิจัยวันนอร์ทเมื่อปี2544โดยเป็นศูนย์ที่ให้บริษัทและต่างชาติเข้ามาทำวิจัยร่วม ซึ่งไทยเองปัจจุบันพึ่งเริ่มตั้ง ฟู้ดอินโนโพลิส(รังสิต)และในอีอีซีจะมี ARIPOLIS(เมืองวิจัยอิเลคโทรนิคส์และหุ่นยนต์ชั้นสูง) ดิจิตอลพาร์ค(ที่ศรีราชา) โดยมีนดยบายคล้ายๆสิงคโปร์คือ ให้บ.ต่างชาติเข้ามาทำวิจัยร่วมโดยยกเว้นภาษี และสามารถนำนักวิจัยชั้นสูง(พร้อมครอบครัว)เข้ามาทำงานได้ด้วยวีซ่า4ปี(ภาษีไม่เกิน17%ของเงินเดือน/เท่าสิงคโปร์)
ในนโยบายของBOIกำหนดให้ บริษัทเทคโนโลยี่ชั้นสุงในกลุ่ม10เอสเคิร์ฟที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จะต้องมีพันธมิตรเป็นมาหวิทยาลัยในไทย เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี่ เพื่อแลกกับการยกเว้นภาษี8-15ปี ถ้านโยบายนี้ได้ผล ไทยก็จะเร่ิมก้าวกระโดดทางเทคดนโลยี่ในอีกสิบปีข้างหน้านี้ รวมทั้งการอนุญาติให้มหาวิทยาลัยชั้นนำต่างชาติมาตั้งวิทยาเขตในเขตอีอีซีได้ ซึ่งแน่นอนแล้วว่า ม.คาเนกีเมล่อนTop3ด้านวิศวะไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ของสหรัฐจะมา(ด้วยการเชิญของสจล.เทคโนพระจอมเกล้าฯ) และม.แห่งชาติได้หวัน(เจ้าของอมตะฯที่เป็นศิษย์เก่าน่าจะเป็นผู้เชิญมา) ดังนั้นการปฏิรูปด้านอุดมศึกษาของไทยแบบก้าวกระโดดก็น่าจะเห็นกันในอีก5-10ปีนี้
และที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ จากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าของ บ.EA(พลังงานบริสุทธิ์) ที่เตรียมจะขายรถไฟฟ้ายี่ห้อไทยแท้MINEในปลายปี62และได้ดชว์รถไฟฟ้าต้นแบบในงานมอเตอร์โชว์เมื่อสองเดือนที่แล้วไป โดยรถรุ่นซิตี้คาร์ราคาไม่เกินหกแสน และรถsuvราคาไม่เกิน1ล้านนั้น บ.อีเอมีโครงการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมฯที่ใหญ่ที่สุดในโลก 50กิกะวัตต์ ใหญ่กว่าของเทสล่าที่เนวาด้า1.4เท่า(35กิกะวัตต์) โครงการเฟส1เสร็จปลายปี61และเฟสสองเสร็จ63 โดยเขาบอกว่าต้นทุนโรงงานถูกกว่าของเทสล่าสองเท่า เนื่องจากเทสล่าต้องซื้อสิทธิบัตรและจ้างพานาโซนิคสร้างโรงงานให้ แต่ของEAเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเอง และเป็นเทคโนโลยี่แบตฯที่เมื่อรถชนกันจะไม่ติดไฟ(ไม่เหมือนเทสล่าที่มีข่าวคนขับโดนไฟครอกเมื่อต้นปีนี้) รวมทั้งปตท.ก็กำลังสร้างโรงงานแบตฯลิเธียมเช่นกันแต่เล็กกว่าของEAมาก นอกจากนี้ยังได้ยินข่าวลือมาว่า บ.บางจากที่ไปซื้อหุ้นเหมืองลิเธียมในชิลีและสหรัฐไว้แล้ว ก็กำลังมีแผนจะสร้างโรงงานแบตฯลิเธียมขนาดใหญ่มากๆอีกด้วย(ต้องใช้ที่ดินถึง800ไร่ในการสร้างโรงงาน) ถ้าข่าวเป็นจริงก็จะดีมาก และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รมว.อุตสาหกรรม ดร.อุตตมะได้ออกมาพูดว่า ในอีกห้าปีข้างหน้า ไทยอาจเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมแบตฯลิเธียมไออ้อน (และตามมาด้วยรถยนต์ไฟฟ้า) ซึ่งแว่วๆว่ารัฐบาลนี้มีแผนลับซับซ้อนเพื่อผลักดันเรื่องการค้นหาเทคโนโลยี่แบตฯลิเธี่ยมไออ้อนไปทั่วโลก(แล้วขอซื้อหุ้น,ร่วมมือเป็นหุ้นส่วน,แล้วยึดสิทธิบัตร)มานานหลายปีแล้ว ขอบอกว่าไทยเราไม่ะรรมดาหรอกครับ และคงจะได้เห็นการความหาเทคโนโลยี่เพื่อสร้างประเทศ ทั้งแบบทางตรงและทางลับ ทางซับซ้อนเจ้าเล่ห์ ของประเทศไทยเราอีกเยอะแน่ๆในไม่กี่ปีข้างหน้านี้แน่นอน(ถ้าทำได้สำเร็จ คงได้เห็นการก้าวกระโดดในอีกหลายๆอุตสาหกรรมเลย เอาใจช่วยกันด้วนนะครับ)
ซึ่งถ้าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงโดยไม่สะดุดหกล้มเพราะการเมืองหลังเลือกตั้ง ไทยไม่เพียงแต่แซงมาเลเซียเท่านั้น แต่จะสามารถแข่งขันได้ในระดับโลกเลยทีเดียวครับ
ความคิดเห็นที่ 24
ข้อมูลของ International Monetary Fund World Economic Outlook (April - 2018)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คาดการณ์ว่าในปี 2023 GDP per capita PPP ของมาเลเซีย จะขึ้นไปถึง 40,381 U.S. dollars
ส่วนไทยจะอยู่ที่ 24,802 U.S. dollars
รายได้ต่อหัวของคนมาเลเซีย ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะสูงกว่าหลายประเทศในยุโรป (ตอนนี้ก็สูงกว่าหลายประเทศแล้ว แต่จะขยับอันดับขึ้นไปอีก)
หรือพวกอันดับความสามารถทางการแข่งขัน The Global Competitiveness Report 2017–2018
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาเลก็สูงกว่าไทย หรืออันดับมหาวิทยาลัย มาเลเซียทำให้มหาวิทยาลัยติด 1 ใน 100 ของโลกได้
ถ้าบอกว่าไม่เชื่อข้อมูลพวกนี้ เพราะมาเลเซียโกงหรือตกแต่งข้อมูลก็เกินไป เพราะข้อมูลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือได้
ส่วนที่ไม่น่าเชื่อคือพวกตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเลเซียนับคนข้ามแดนเป็นนักท่องเที่ยว ทำให้ตัวเลขมันเกินความเป็นจริง
ทั้งที่ UNWTO มีเกณฑ์ชัดเจนว่าต้องนับคนที่เดินทางเข้าประเทศและค้างคืน อย่างน้อย 1 คืน จึงนับเป็นนักท่องเที่ยว
แต่มาเลเซียนับคนสิงคโปร์ที่ข้ามแดนเข้ามาซื้อของแบบไปกลับที่ด่านวู๊ดแลนด์และฝั่งยะโฮร์ บาห์รูเป็นนักท่องเที่ยวหมด
ไม่ใช่แค่มาเลเซีย ฮ่องกงก็นับคนจีนที่เดินทางเข้ามาแบบไปกลับ จากเขตเสินเจิ้นด้วย ทำให้ตัวเลขสูงกว่าความเป็นจริง
คนเดินทางพวกนี้ บางคนเป็นเจ้าของร้านขายของในฮ่องกง บางคนเป็นแรงงานในโรงแรม ร้านอาหาร เข้ามาทำงานแบบไปกลับ
ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่ฮ่องกงก็นับหมด
ยิ่งเห็นไทยติดอันดับ 1 ใน 9 ของโลก มาเลเซียก็คงคลั่งหนัก คงนับแบบเออเร่อกันใหญ่ในปีนี้
บางคนก็อคติกับมาเลเซียเกินไป บอกว่าไป KL แล้ว ไม่เห็นเจริญเลย
เาอจริง ๆ แค่สนามบินเขาก็อันดับดีกว่าเราแล้ว จะบอกว่ายัดเงินให้สกายแทร็กซ์ก็ตามใจ
แต่ไปเดินดูดี ๆ ทั้ง KLIA และ KLIA2 เขาทำดีจริง รวมถึงสนามบินบาหลีของอินโดด้วย ไปแล้วดีแบบผิดหูผิดตา
สิ่งที่ดีของมาเลเซียอีกอย่างคือ การกระจายความเจริญ แต่ละรัฐของเขานี่แข่งกันมาก
ปะหัง ปีนัง เปรัก มะละกา ซาลังงอ หรือแม้แต่ในมาเลตะวันออก คูชิงกับโกตาคินาบารู ก็เจริญขึ้นมาก
เพราะเขามีอำนาจในรัฐบาลท้องถิ่น ภาษีก็เก็บได้เร็วแล้วใช้งานเลย
รถขนส่งคนก็ใหม่ สะอาด
ของเราเหรอ กทม มีรถไฟฟ้าจนจะครอบคลุมหมดแล้ว เมืองใหญ่ ตจว ยังอ้าปากแห้งรอความเมตตาอยู่เลย
เอาแค่ รถเมล์รับส่งคนจากสนามบินไปตัวเมือง ยังเพิ่งเริ่มทำเลย
ระบบขนส่งสาธารณะ ถ้าเชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น ไม่คิดทำรถเมล์เอง ชาตินี้ก็ไม่รู้ว่ากระทรวงคมนาคมจะทำอะไรให้หรือเปล่า
เพราะ ขสมก. ก็บริการแต่คนกรุงเทพกับปริมณฑล
บางอย่างมาเลเซียก็บอดเบือนข้อมูลขึ้นมา แต่บางอย่างเราต้องยอมรับว่าเขาดีกว่าจริง
ไม่งั้นก็จะกลายเป็นคนปิดหูปิดตาไม่รับความจริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คาดการณ์ว่าในปี 2023 GDP per capita PPP ของมาเลเซีย จะขึ้นไปถึง 40,381 U.S. dollars
ส่วนไทยจะอยู่ที่ 24,802 U.S. dollars
รายได้ต่อหัวของคนมาเลเซีย ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะสูงกว่าหลายประเทศในยุโรป (ตอนนี้ก็สูงกว่าหลายประเทศแล้ว แต่จะขยับอันดับขึ้นไปอีก)
หรือพวกอันดับความสามารถทางการแข่งขัน The Global Competitiveness Report 2017–2018
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มาเลก็สูงกว่าไทย หรืออันดับมหาวิทยาลัย มาเลเซียทำให้มหาวิทยาลัยติด 1 ใน 100 ของโลกได้
ถ้าบอกว่าไม่เชื่อข้อมูลพวกนี้ เพราะมาเลเซียโกงหรือตกแต่งข้อมูลก็เกินไป เพราะข้อมูลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือได้
ส่วนที่ไม่น่าเชื่อคือพวกตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเลเซียนับคนข้ามแดนเป็นนักท่องเที่ยว ทำให้ตัวเลขมันเกินความเป็นจริง
ทั้งที่ UNWTO มีเกณฑ์ชัดเจนว่าต้องนับคนที่เดินทางเข้าประเทศและค้างคืน อย่างน้อย 1 คืน จึงนับเป็นนักท่องเที่ยว
แต่มาเลเซียนับคนสิงคโปร์ที่ข้ามแดนเข้ามาซื้อของแบบไปกลับที่ด่านวู๊ดแลนด์และฝั่งยะโฮร์ บาห์รูเป็นนักท่องเที่ยวหมด
ไม่ใช่แค่มาเลเซีย ฮ่องกงก็นับคนจีนที่เดินทางเข้ามาแบบไปกลับ จากเขตเสินเจิ้นด้วย ทำให้ตัวเลขสูงกว่าความเป็นจริง
คนเดินทางพวกนี้ บางคนเป็นเจ้าของร้านขายของในฮ่องกง บางคนเป็นแรงงานในโรงแรม ร้านอาหาร เข้ามาทำงานแบบไปกลับ
ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่ฮ่องกงก็นับหมด
ยิ่งเห็นไทยติดอันดับ 1 ใน 9 ของโลก มาเลเซียก็คงคลั่งหนัก คงนับแบบเออเร่อกันใหญ่ในปีนี้
บางคนก็อคติกับมาเลเซียเกินไป บอกว่าไป KL แล้ว ไม่เห็นเจริญเลย
เาอจริง ๆ แค่สนามบินเขาก็อันดับดีกว่าเราแล้ว จะบอกว่ายัดเงินให้สกายแทร็กซ์ก็ตามใจ
แต่ไปเดินดูดี ๆ ทั้ง KLIA และ KLIA2 เขาทำดีจริง รวมถึงสนามบินบาหลีของอินโดด้วย ไปแล้วดีแบบผิดหูผิดตา
สิ่งที่ดีของมาเลเซียอีกอย่างคือ การกระจายความเจริญ แต่ละรัฐของเขานี่แข่งกันมาก
ปะหัง ปีนัง เปรัก มะละกา ซาลังงอ หรือแม้แต่ในมาเลตะวันออก คูชิงกับโกตาคินาบารู ก็เจริญขึ้นมาก
เพราะเขามีอำนาจในรัฐบาลท้องถิ่น ภาษีก็เก็บได้เร็วแล้วใช้งานเลย
รถขนส่งคนก็ใหม่ สะอาด
ของเราเหรอ กทม มีรถไฟฟ้าจนจะครอบคลุมหมดแล้ว เมืองใหญ่ ตจว ยังอ้าปากแห้งรอความเมตตาอยู่เลย
เอาแค่ รถเมล์รับส่งคนจากสนามบินไปตัวเมือง ยังเพิ่งเริ่มทำเลย
ระบบขนส่งสาธารณะ ถ้าเชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น ไม่คิดทำรถเมล์เอง ชาตินี้ก็ไม่รู้ว่ากระทรวงคมนาคมจะทำอะไรให้หรือเปล่า
เพราะ ขสมก. ก็บริการแต่คนกรุงเทพกับปริมณฑล
บางอย่างมาเลเซียก็บอดเบือนข้อมูลขึ้นมา แต่บางอย่างเราต้องยอมรับว่าเขาดีกว่าจริง
ไม่งั้นก็จะกลายเป็นคนปิดหูปิดตาไม่รับความจริง
แสดงความคิดเห็น
จากการที่มาเลเซียกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจตรงนี้ทำให้เรามีโอกาสจี้เข้าใกล้หรือพัฒนาแซงหรือไม่